แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์ ช่วยสนับสนุนระบบต่าง ๆ ตั้งแต่ระบบประสาท, กล้ามเนื้อ, หัวใจ, ไปจนถึงการสร้างและบำรุงกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสมดุลของสารเคมีในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพหลายประการ แม้ว่าการได้รับแร่ธาตุนี้จากอาหารที่มีประโยชน์จะเพียงพอสำหรับหลายคน แต่ในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือผู้ที่รับประทานยาบางชนิด การกินอาหารเสริมนี้อาจเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตาม ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาพูดถึงว่า แมกนีเซียมห้ามกินกับอะไร อย่างไรก็ตาม แร่ธาตุนี้มีข้อจำกัดในการใช้ร่วมกับยาหรือสารอาหารบางประเภท หากไม่ทราบหรือไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดปัญหาการดูดซึมยาหรือสารอาหาร และเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ในบทความนี้จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้จากการค้นคว้าและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจข้อควรหลีกเลี่ยงในการดูแลสุขภาพ เพื่อให้การดูแลตัวเองได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แร่ธาตุแมกนีเซียมคืออะไร และทำไมจึงสำคัญ
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยมีส่วนร่วมในกระบวนการทางชีวเคมีกว่า 300 ชนิด เช่น การส่งสัญญาณในระบบประสาท การควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ และการผลิตพลังงาน อีกทั้งยังช่วยในการสร้างโปรตีนและสังเคราะห์ DNA ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเจริญเติบโตและฟื้นฟูเซลล์ แมกนีเซียมยังช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้ปกติ และมีการศึกษาชี้ว่า การได้รับแมกนีเซียมเพียงพอสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ถึง 15-20%
นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังมีบทบาทในการลดการอักเสบและเสริมเกราะป้องกันผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย สำหรับผู้ที่สงสัยว่าควรเลือก ผิวแพ้ง่ายใช้ครีมอะไรดี การดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองควบคู่กับการได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ผิวสุขภาพดีและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น.
แหล่งอาหารที่สามารถพบได้
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม คะน้า และบร็อกโคลี ให้แมกนีเซียมเฉลี่ย 150-200 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
- ถั่วและธัญพืช เช่น ถั่วลิสง อัลมอนด์ และเมล็ดฟักทอง มีแมกนีเซียมประมาณ 270-300 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
- ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ตและข้าวกล้อง ให้แมกนีเซียมประมาณ 100-150 มิลลิกรัมต่อหนึ่งถ้วย
- ผลไม้ เช่น กล้วยและอะโวคาโด มีแมกนีเซียมประมาณ 30-40 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
การบริโภคอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการเฉลี่ยต่อวัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 310-420 มิลลิกรัมสำหรับผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับเพศและช่วงอายุ
อาการเมื่อขาดแมกนีเซียม
ผู้ที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไม่เพียงพอ หรือมีภาวะสุขภาพบางอย่างที่ทำให้ร่างกายสูญเสียแมกนีเซียม เช่น โรคเบาหวาน หรือการใช้ยาขับปัสสาวะ อาการของการขาดแมกนีเซียมสามารถแสดงออกในหลายรูปแบบ ได้แก่:
- ตะคริวกล้ามเนื้อ และอาการกระตุกในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
- อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมที่หนัก
- ความดันโลหิตสูง อันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะซึมเศร้าและอารมณ์แปรปรวน จากผลกระทบต่อสารเคมีในสมอง
- กระดูกพรุน เนื่องจากแมกนีเซียมมีบทบาทในการดูดซึมแคลเซียม
หากปล่อยให้มีอาการเหล่านี้ไปนาน ๆ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ จึงควรสังเกตอาการและปรึกษาแพทย์หากสงสัยว่าร่างกายอาจขาดแมกนีเซียม
แมกนีเซียมห้ามกินกับอะไร — ยาที่ควรหลีกเลี่ยง
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
ยาปฏิชีวนะบางชนิด โดยเฉพาะยากลุ่มเตตราไซคลีน (เช่น ดอกซีไซคลีน และมิโนไซคลีน) และกลุ่มควิโนโลน (เช่น ซิโปรฟลอกซาซิน และเลโวฟลอกซาซิน) มีปัญหาเรื่องการดูดซึมเมื่อรับประทานพร้อมกับแมกนีเซียม สาเหตุเพราะแมกนีเซียมจะจับตัวกับยาในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้น้อยลง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อได้ถึง 50%
วิธีหลีกเลี่ยงการลดประสิทธิภาพของยา
- รับประทานยาปฏิชีวนะก่อนหรือหลังการใช้แมกนีเซียมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- สำหรับกลุ่มควิโนโลน อาจต้องเว้นช่วงเวลายาวถึง 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ยาได้รับการดูดซึมเต็มที่
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาและแมกนีเซียมพร้อมกัน
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร (Proton Pump Inhibitors – PPIs)
ยากลุ่ม PPIs เช่น โอเมพราโซล และเอสโอมิพราโซล ใช้รักษาอาการกรดไหลย้อนและแผลในกระเพาะอาหาร แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่การใช้ยาในระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) สามารถลดระดับแมกนีเซียมในเลือดได้ถึง 20-25% ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแม้แต่อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
วิธีป้องกันการขาดแมกนีเซียม
- ควรตรวจระดับแมกนีเซียมในเลือดอย่างสม่ำเสมอ หากใช้ PPIs ต่อเนื่อง
- ในกรณีที่พบว่าระดับแมกนีเซียมต่ำ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานแมกนีเซียมเสริมควบคู่ไปด้วย
- หลีกเลี่ยงการใช้ PPIs เกินระยะเวลาที่จำเป็น
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
เช่น ฟูโรซีไมด์ และไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ช่วยขับของเหลวและเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ แต่ยากลุ่มนี้ยังทำให้แมกนีเซียมถูกขับออกไปด้วย ในกลุ่มผู้ที่ใช้ยาเป็นเวลานาน อาจทำให้ระดับแมกนีเซียมในเลือดลดลงถึง 10-15% ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแมกนีเซียมและอาการข้างเคียง
ผลกระทบของระดับแมกนีเซียมที่ลดลง
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- รบกวนการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อติดตามระดับแมกนีเซียม และอาจต้องใช้อาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
ยารักษาโรคกระดูกพรุน (Bisphosphonates)
ยากลุ่มนี้ เช่น อะเลนโดรเนต และริดโรเนต ใช้รักษาและป้องกันโรคกระดูกพรุน แต่ปัญหาคือ แมกนีเซียมจะลดการดูดซึมของยาเหล่านี้ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยาในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
คำแนะนำในการรับประทานยาให้ปลอดภัย
- รับประทานยารักษาโรคกระดูกพรุนก่อนหรือหลังแมกนีเซียมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ในบางกรณี อาจต้องเว้นระยะเวลา 30-60 นาที ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
ยารักษาโรคไทรอยด์ (Thyroid Medication)
ยารักษาโรคไทรอยด์ เช่น เลโวไทรอกซีน ต้องการสภาพแวดล้อมในกระเพาะอาหารที่เหมาะสมเพื่อการดูดซึมที่ดี แต่แมกนีเซียมในทางเดินอาหารอาจขัดขวางกระบวนการนี้ ทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้น้อยลงถึง 20-25% และส่งผลต่อการควบคุมฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกาย
วิธีปรับเวลาการรับประทานยา
- รับประทานยาไทรอยด์ในตอนเช้าขณะท้องว่าง และรออย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนรับประทานแมกนีเซียมหรืออาหารเสริมอื่น ๆ
- ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเวลาและปริมาณยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
นอกจากยาบางประเภทแล้ว การรับประทานร่วมกับอาหารเสริมอื่น ๆ เช่น โพรไบโอติก อาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารในระบบทางเดินอาหาร หากคุณสงสัยว่า โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม การจัดสรรเวลาในการรับประทานอาหารเสริมแต่ละชนิดอย่างเหมาะสม สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัญหาการดูดซึมที่อาจเกิดขึ้น.
แมกนีเซียมห้ามกินกับอะไร — การใช้ร่วมกับอาหารเสริม
อาหารที่มีธาตุสังกะสีสูง
แมกนีเซียมและสังกะสี ทั้งสองเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย แต่มีปัญหาด้านการแย่งกันดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร หากกินทั้งสองพร้อมกัน ร่างกายอาจดูดซึมแร่ธาตุได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะสังกะสี ซึ่งการดูดซึมอาจลดลงถึง 30-40% ในบางกรณี
คำแนะนำในการรับประทานให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- ควรกินอาหารเสริมแมกนีเซียมและสังกะสีแยกกัน โดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมแร่ธาตุทั้งสอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อปรับตารางการรับประทาน
- เลือกบริโภคอาหารที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม เนื้อแดง และถั่วชนิดต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ไม่ได้รับประทานแมกนีเซียมเสริม
แคลเซียม
แมกนีเซียมและแคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง แต่เมื่อรับประทานร่วมกัน การดูดซึมของทั้งสองอาจแข่งขันกันในลำไส้เล็ก โดยเฉพาะแคลเซียม ซึ่งอาจลดการดูดซึมแมกนีเซียมได้ถึง 40-50% ส่งผลให้ระดับแมกนีเซียมในเลือดไม่เพียงพอ
สัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างแคลเซียมและแมกนีเซียม
- สัดส่วนที่แนะนำในการบริโภคแคลเซียมต่อแมกนีเซียม คือ 2:1 ตัวอย่างเช่น หากรับประทานแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม ควรรับประทานแมกนีเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัม
- หากต้องกินอาหารเสริมทั้งสองตัว ควรเว้นระยะเวลาระหว่างการรับประทานอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ควรบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น นม, โยเกิร์ต, และปลาเล็กปลาน้อย ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
- หากร่างกายขาดแร่ธาตุนี้ อาจส่งผลให้เล็บอ่อนแอหรือเกิดปัญหาเล็บขบได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหา เล็บขบทําไงให้หาย การดูแลสุขภาพเล็บด้วยการได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกับสารอาหารอื่น ๆ
ธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่เมื่อรับประทานร่วมกับแมกนีเซียม ร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กได้ลดลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะโลหิตจางหรือผู้หญิงที่มีประจำเดือนหนัก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กในปริมาณมาก
วิธีการจัดสรรเวลาในการรับประทานอาหารเสริม
- เพื่อป้องกันปัญหาการดูดซึม ควรรับประทานธาตุเหล็กและแมกนีเซียมในเวลาที่ต่างกัน โดยเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
- รับประทานธาตุเหล็กพร้อมกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม หรือผลไม้ตระกูลส้ม เพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
- หากจำเป็นต้องเสริมธาตุเหล็กและแมกนีเซียมพร้อมกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
วิธีป้องกันผลข้างเคียงจากแมกนีเซียม
คำแนะนำในการรับประทานอย่างปลอดภัย
ถึงแม้ว่าเราจะทราบดีว่าแมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ แต่การรับประทานเกินขนาดหรือไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย, คลื่นไส้, หรือในกรณีร้ายแรง อาจส่งผลต่อระบบหัวใจและไต นอกจากการรับในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว การดูแลสุขภาพผิวจากภายนอก เช่น การใช้มาส์กหน้า ยังช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงและลดการระคายเคืองได้อีกด้วย หากคุณสงสัยว่า มาส์กหน้าช่วยอะไร การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพผิวควบคู่ไปกับการดูแลจากภายใน เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
- รับประทานแมกนีเซียมพร้อมอาหาร เพื่อช่วยลดการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร
- เลือกผลิตภัณฑ์เสริมที่มีคำแนะนำการใช้งานชัดเจน และไม่ควรรับประทานเกิน 350 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับแมกนีเซียมที่ได้รับจากอาหารเสริม เว้นแต่แพทย์จะสั่งเป็นกรณีพิเศษ
- หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ควรเริ่มต้นด้วยปริมาณที่ต่ำและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้แมกนีเซียม
แม้ว่าแร่ธาตุนี้จะหาได้ง่ายในรูปแบบอาหารเสริม แต่ก็ไม่ควรเริ่มใช้โดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, เบาหวาน, หรือผู้ที่กำลังใช้ยาประเภทอื่น เช่น ยาขับปัสสาวะหรือยารักษาโรคหัวใจ แพทย์หรือเภสัชกรจะช่วยประเมินความเหมาะสมของการใช้แมกนีเซียม และแนะนำปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
การเฝ้าระวังอาการข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือคลื่นไส้
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย คือ อาการท้องเสียและคลื่นไส้ ซึ่งมักเกิดจากการได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่สูงเกินไป หากพบอาการดังกล่าว ควรหยุดใช้ชั่วคราวและปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ควรสังเกตอาการอื่น ๆ เช่น:
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- หัวใจเต้นช้าหรือผิดจังหวะ
- ความดันโลหิตลดลง
การเข้าใจถึงข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้อาหารเสริมแมกนีเซียม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ แม้แร่ธาตุนี้อาจดูไม่มีอันตราย แต่หากใช้งานผิดวิธีหรือรับประทานร่วมกับยาบางชนิด อาจส่งผลต่อการดูดซึมหรือประสิทธิภาพของยา รวมถึงอาจทำให้เกิดภาวะขาดหรือเกินแร่ธาตุในร่างกายได้ นอกจากนี้ การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มบริโภคอาหารเสริม โดยเฉพาะเมื่อมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยารักษาโรคอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาว สุขภาพที่ดีไม่ได้มาจากการพึ่งพาอาหารเสริมหรือยาเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มต้นจากการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี การมีความรู้และความเข้าใจในสิ่งที่ร่างกายต้องการจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาสุขภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย
คำถามที่พบบ่อย
1. แมกนีเซียมควรรับประทานเวลาใด?
แร่ธาตุนี้สามารถรับประทานได้ทุกเวลาของวัน แต่ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารและลดความเสี่ยงต่ออาการท้องเสีย หากรับประทานเพื่อเสริมสุขภาพทั่วไป ควรกำหนดเวลาที่แน่นอน เช่น ช่วงเช้าหรือก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคยและดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. สามารถรับประทานแมกนีเซียมร่วมกับวิตามินรวมได้หรือไม่?
การรับประทานร่วมกับวิตามินรวมสามารถทำได้ แต่ควรตรวจสอบปริมาณแมกนีเซียมในวิตามินรวมก่อน เพราะหากได้รับแมกนีเซียมเกินความต้องการของร่างกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือคลื่นไส้ หากวิตามินรวมมีธาตุแคลเซียมหรือสังกะสี ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อวางแผนการรับประทานที่เหมาะสม เนื่องจากแร่ธาตุเหล่านี้อาจแย่งกันดูดซึม
3. ถ้าลืมรับประทานแมกนีเซียม ควรทำอย่างไร?
หากลืม ให้คุณรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาของมื้อถัดไป ควรข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานตามปกติ ห้ามเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าในมื้อถัดไป เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับเกินปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องเสียหรือปวดท้อง
4. แมกนีเซียมมีผลต่อยารักษาโรคประจำตัวอย่างไร?
แมกนีเซียมอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาขับปัสสาวะ และยารักษาโรคกระดูกพรุน โดยลดประสิทธิภาพหรือเปลี่ยนแปลงการดูดซึมของยา หากคุณมีโรคประจำตัวและต้องใช้ยา ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มรับประทานแมกนีเซียม เพื่อปรับเวลาและปริมาณการใช้ให้เหมาะสมและปลอดภัย
อ้างอิง
- Patricia Weiser, PharmD, 10 Medications You Should Avoid Mixing With Magnesium, verywellhealth, October 28, 2024, https://www.verywellhealth.com/medications-that-interact-with-magnesium-8731140
- Laura Schober, 5 Medications Not to Mix With Magnesium, Health, September 3, 2024, https://www.health.com/medications-not-to-mix-with-magnesium-8687830
- Magnesium – Uses, Side Effects, and More, WebMD, August, 2024, https://www.webmd.com/drugs/2/drug-25/magnesium-oral/details