ในยุคปัจจุบันผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โพรไบโอติกกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะในรูปแบบของอาหารหมักดองหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์” ซึ่งเป็นคำอธิบายง่าย ๆ ของจุลินทรีย์นี้ แต่จริง ๆ แล้วมันมีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่านั้น โดยโพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร และยังมีบทบาทในระบบอื่น ๆ ของร่างกาย หลายงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า การรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสียหรือท้องผูก แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้น การบริโภคจุลินทรีย์ตัวนี้ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันสำหรับหลายคน บางคนเลือกดื่มโยเกิร์ตหรือคีเฟอร์ ขณะที่บางคนพึ่งพาอาหารเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายได้รับอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงสงสัยว่า โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม ? และเหมาะสมกับทุกคนหรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงโพรไบโอติกในทุกมิติ รวมถึงข้อควรระวังและคำแนะนำเพื่อการบริโภคที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณมากที่สุด
โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม
เชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติก เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในโฆษณาอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งนี้จุลินทรีย์ที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะต่อระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน มาดูกันว่ารายละเอียดกันว่าเป็นอย่างไร และเราสามารถหาได้จากแหล่งใดบ้าง
ทั้งนี้ การดูแลสุขภาพที่ดีควรทำควบคู่กันทั้งจากภายในและภายนอก หากสงสัยว่า โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม ? คำตอบนั้นคือ บริโภคช่วยเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันจากภายใน ขณะเดียวกัน การดูแลผิวจากภายนอก เช่น การมาส์กหน้า ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว หากคุณกำลังสงสัยว่า มาส์กหน้าช่วยอะไร การผสมผสานทั้งสองวิธีนี้จะช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นและผิวดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
ประเภทของโพรไบโอติก
โพรไบโอติกคือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะช่วยส่งเสริมสุขภาพ โดยโพรไบโอติกสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ แบคทีเรียและยีสต์ที่มีประโยชน์
- แบคทีเรียที่มีประโยชน์ : แบคทีเรียที่เป็นโพรไบโอติกส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งมีสายพันธุ์ย่อยมากมาย เช่น
- Lactobacillus acidophilus ที่ช่วยในเรื่องการย่อยแลคโตสในนม และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- Bifidobacterium longum ที่ช่วยลดการอักเสบในลำไส้ และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย
- ยีสต์ที่มีประโยชน์ : ยีสต์ที่นิยมในกลุ่มโพรไบโอติกคือ Saccharomyces boulardii ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันอาการท้องเสีย และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ
แหล่งที่มา
โพรไบโอติกสามารถหาได้จากหลายแหล่ง โดยส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ อาหารหมักดองและอาหารเสริม
อาหารหมักดอง
- โยเกิร์ต: มีแบคทีเรีย Lactobacillus bulgaricus และ Streptococcus thermophilus ซึ่งช่วยปรับสมดุลลำไส้
- กิมจิ: อุดมไปด้วยแบคทีเรีย Lactobacillus plantarum ซึ่งช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
- คีเฟอร์: เป็นเครื่องดื่มหมักที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ มีแบคทีเรียและยีสต์หลากหลายชนิดที่ช่วยเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร
อาหารเสริม
สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการบริโภคอาหารหมักดอง สามารถเลือกใช้โพรไบโอติกในรูปแบบของอาหารเสริมได้
- อาหารเสริมโพรไบโอติกมีหลากหลายรูปแบบ เช่น แคปซูล ผง หรือเม็ดอม
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปัจจุบันมักจะมีจำนวนจุลินทรีย์ตั้งแต่ 1 พันล้านถึง 50 พันล้าน CFU (Colony Forming Units) ต่อเม็ด ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกปริมาณที่เหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง
ประโยชน์ของการกินโพรไบโอติกทุกวัน
1 เสริมสุขภาพทางเดินอาหาร
ระบบทางเดินอาหารเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพโดยรวม และโพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
- ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ : ในลำไส้ของคนเรามีจุลินทรีย์อยู่ประมาณ 300–500 สายพันธุ์ โดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรค โพรไบโอติก เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium ช่วยเสริมจำนวนจุลินทรีย์ที่ดี ทำให้ลำไส้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดอาการท้องเสียและท้องผูก : การศึกษาพบว่า การบริโภคโพรไบโอติกช่วยลดอาการท้องเสียที่เกิดจากยาปฏิชีวนะได้ถึง 42% และช่วยปรับปรุงอาการท้องผูกในผู้สูงอายุได้ถึง 30% โดยเฉพาะการบริโภคสายพันธุ์ Lactobacillus rhamnosus และ Bifidobacterium lactis
2 เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
นอกจากประโยชน์ต่อทางเดินอาหารแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดโอกาสติดเชื้อและการอักเสบ โดยไปช่วยกระตุ้นการผลิตสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรคและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย งานวิจัยชี้ว่า การบริโภคgป็นประจำช่วยลดโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ถึง 30% และลดการอักเสบในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
3 สุขภาพจิตและสมอง (Gut-Brain Axis)
เป็นเรื่องที่น่ามึ่ง เมื่อเราพว่าระบบทางเดินอาหารและสมองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งผ่านเส้นประสาทวากัสและสารเคมีที่จุลินทรีย์ในลำไส้ผลิตขึ้น โดยสามารถลดความเครียดและความวิตกกังวล ****การศึกษาในปี 2021 พบว่าการบริโภคโพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus helveticus และ Bifidobacterium longum ช่วยลดระดับความเครียดในผู้เข้าร่วมการทดลองได้ถึง 20% และช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้นในกลุ่มผู้มีอาการวิตกกังวล
4 สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
สุขภาพหัวใจเป็นอีกหนึ่งด้านที่โพรไบโอติกสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต การบริโภคโพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus reuteri วันละ 10 พันล้าน CFU สามารถลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ได้ถึง 9% และการบริโภคโพรไบโอติกยังช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อควรระวัง
การรับประทานโพรไบโอติกร่วมกับอาหารเสริมอื่น ๆ ควรระมัดระวัง เนื่องจากอาจเกิดปัญหาในการดูดซึมสารอาหารหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่นเดียวกับกรณีของแมกนีเซียมที่อาจมีปฏิกิริยากับยาหรือสารอาหารบางชนิด หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่ แมกนีเซียมห้ามกินกับอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม ? ผลข้างเคียงและความเสี่ยง
แม้ว่าโพรไบโอติกจะมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่การบริโภคทุกวันก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและความเสี่ยงในบางกรณี โดยเฉพาะหากไม่ได้เลือกผลิตภัณฑ์หรือปริมาณที่เหมาะสม
ผลข้างเคียงระยะสั้น
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มรับประทานโพรไบโอติก อาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อยในระยะสั้นขณะที่ร่างกายปรับตัวกับจุลินทรีย์ใหม่ ๆ
- ท้องอืดและแก๊สในกระเพาะอาหาร : ในช่วงแรกของการบริโภคโพรไบโอติก อาจมีอาการท้องอืดหรือแก๊สในลำไส้เพิ่มขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์ในลำไส้กำลังปรับสมดุลใหม่ โดยอาการนี้พบในผู้เริ่มต้นรับประทานโพรไบโอติกประมาณ 20-30% และมักจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการปวดท้องเล็กน้อย : บางคนอาจมีอาการปวดท้องเล็กน้อยหลังจากเริ่มรับประทาน โดยเฉพาะหากรับประทานในปริมาณที่สูงเกินไปในช่วงแรก การลดปริมาณลงและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นสามารถช่วยลดอาการนี้ได้
ความเสี่ยงสำหรับกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังรับการรักษา ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน และผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด อาจต้องระมัดระวังในการบริโภคโพรไบโอติก แม้ว่าจุลินทรีย์ในโพรไบโอติกจะเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ แต่ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จุลินทรีย์เหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ แม้ว่าความเสี่ยงนี้จะเกิดขึ้นน้อยมาก (น้อยกว่า 1% ของผู้ใช้โพรไบโอติกในกลุ่มนี้) แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานเพื่อความปลอดภัย
คำแนะนำในการเลือกและบริโภค
การเลือกและบริโภคโพรไบโอติกให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องของสายพันธุ์ ปริมาณ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะสมกับสุขภาพและความต้องการเฉพาะบุคคล
เลือกสายพันธุ์โพรไบโอติกที่เหมาะสม
โพรไบโอติกมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีประโยชน์เฉพาะตัว การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพหรือเป้าหมายในการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- Lactobacillus สายพันธุ์นี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน เช่น Lactobacillus acidophilus ช่วยย่อยแลคโตสและลดอาการท้องเสีย หรือ Lactobacillus rhamnosus ที่ช่วยลดอาการท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
- Bifidobacterium เหมาะสำหรับการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ เช่น Bifidobacterium longum ที่ช่วยลดการอักเสบในลำไส้ และ Bifidobacterium breve ที่ช่วยปรับปรุงระบบย่อยอาหารในผู้สูงอายุ
- สายพันธุ์อื่น ๆ เช่น Saccharomyces boulardii ซึ่งเป็นยีสต์ที่มีประโยชน์ในการป้องกันท้องเสีย และ Streptococcus thermophilus ที่ช่วยลดการอักเสบในลำไส้
ปริมาณและวิธีการบริโภค
- ปริมาณที่แนะนำ (CFU) : โพรไบโอติกวัดปริมาณในหน่วย CFU (Colony Forming Units) ซึ่งแสดงจำนวนจุลินทรีย์ที่มีชีวิตในผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณที่แนะนำสำหรับการบริโภคอยู่ระหว่าง 1 พันล้านถึง 10 พันล้าน CFU ต่อวัน ขึ้นอยู่กับสภาพสุขภาพและเป้าหมายในการดูแลสุขภาพ
- การเก็บรักษาและอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ : ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกบางชนิดต้องเก็บในที่เย็นหรือในตู้เย็นเพื่อรักษาประสิทธิภาพ จึงควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำในการเก็บรักษาอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ควรตรวจสอบวันหมดอายุและสายพันธุ์ที่ระบุไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
โพรไบโอติกไม่ได้ส่งผลดีเฉพาะต่อระบบทางเดินอาหารเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยในระบบเผาผลาญและการสนับสนุนสุขภาพเล็บอีกด้วย การปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายสามารถเสริมความแข็งแรงของเล็บ และลดปัญหา เช่น เล็บขบ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย เล็บขบทําไงให้หาย
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มรับประทาน : แม้ว่าโพรไบโอติกจะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มรับประทานเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะ เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่กำลังใช้ยาบางชนิด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์และปริมาณที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มกินโพรไบโอติกทุกวัน
ก่อนที่จะเริ่มต้นการบริโภคโพรไบโอติกทุกวัน สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เหมาะสมกับทุกคนหรือไม่ รวมถึงการดูแลสุขภาพลำไส้ในภาพรวม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อหยุดบริโภค
โพรไบโอติกเหมาะสำหรับทุกคนหรือไม่?
แม้ว่าโพรไบโอติกจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับหลายคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรเริ่มต้นบริโภคโดยไม่มีการพิจารณา
- ผู้ที่ได้รับประโยชน์ : โพรไบโอติกเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ, ท้องผูก, หรืออาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
- ผู้ที่ควรระมัดระวัง : ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานโพรไบโอติก เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์
การดูแลสุขภาพลำไส้แบบองค์รวม
แม้ว่าโพรไบโอติกจะช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ได้ดี แต่การดูแลสุขภาพลำไส้ควรทำแบบองค์รวม โดยเน้นการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันร่วมด้วย
- กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง : ไฟเบอร์เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของโพรไบโอติกตามธรรมชาติ อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ด ควรเป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารประจำวัน
- ออกกำลังกาย : การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย การศึกษาพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีสุขภาพลำไส้ที่ดีกว่าผู้ที่มีวิถีชีวิตแบบนั่งนิ่ง
- ดื่มน้ำเพียงพอ : น้ำช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่น และส่งเสริมสุขภาพลำไส้โดยรวม
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดบริโภคโพรไบโอติก
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นรับประทานโพรไบโอติกเป็นประจำ การหยุดบริโภคอาจส่งผลกระทบบางประการ โดยเฉพาะในช่วงแรก
- การกลับมาของอาการเดิม : หากโพรไบโอติกเคยช่วยลดอาการท้องผูกหรือท้องเสีย การหยุดบริโภคอาจทำให้อาการเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้อาจถูกรบกวน
- การปรับตัวของลำไส้ : บางคนอาจรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องอืดหรือไม่สบายในช่วงแรกหลังหยุดโพรไบโอติก แต่ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัวได้ในระยะเวลาหนึ่ง
เราสรุปได้ว่า โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หลากหลายด้านต่อสุขภาพ ทั้งในเรื่องของระบบทางเดินอาหาร, ระบบภูมิคุ้มกัน, และสุขภาพจิต การบริโภคจุลินทรีย์นี้เป็นประจำทุกวัน มีส่วนที่สามารถช่วยเสริมสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย และป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำในการบริโภคอย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งนี้ แม้จะมีประโยชน์มากมายเพียงใก แต่การคำนึงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะช่วยให้การบริโภคเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด สุขภาพที่ดีไม่สามารถสร้างขึ้นจากจุลินทรีย์นี้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. กินโพรไบโอติกทุกวันปลอดภัยหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การบริโภคโพรไบโอติกทุกวันถือว่าปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ โพรไบโอติกช่วยเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทาน
2. โพรไบโอติกช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ว่าโพรไบโอติกบางสายพันธุ์ เช่น Lactobacillus gasseri และ Bifidobacterium lactis อาจช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนักโดยการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และยังคงต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพในระยะยาว
3. ต้องกินโพรไบโอติกนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
ระยะเวลาที่จะเห็นผลจากการบริโภค ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ หากใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องเสีย อาจเห็นผลภายในไม่กี่วัน แต่หากใช้เพื่อปรับปรุงสุขภาพลำไส้หรือระบบภูมิคุ้มกัน อาจต้องใช้เวลา 4-8 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง
4. มีอาหารอะไรบ้างที่เป็นแหล่งของโพรไบโอติก?
แหล่งของจุลินทรีย์นี้ตามธรรมชาติ ได้แก่ อาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ มิโซะ และคอมบูชา อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมโพรไบโอติกในรูปแบบแคปซูลหรือผงสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการบริโภค
อ้างอิง
- Probiotics, Cleveland Clinic, October 30, 2023, https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/14598-probiotics
- Kris Gunnars, Probiotics 101: A Simple Beginner’s Guide, Healthline, December 9, 2020, https://www.healthline.com/nutrition/probiotics-101
- Isabel Vasquez, What Happens to Your Body When You Take Probiotics Every Day, EatingWell, April 2, 2023, https://www.eatingwell.com/article/8037462/benefits-of-taking-probiotics/