“ฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด” หรือ “ไขมัน” เลือกฉีดอะไรดีกว่ากัน

“ฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด” หรือ “ไขมัน” เลือกฉีดอะไรดีกว่ากัน

ไม่ว่าจะเลือกฉีดฟิลเลอร์หรือไขมัน ต่างก็มีผลลัพธ์โดยรวมที่ช่วยให้มีรูปหน้าที่สวยงามได้ตามความต้องการ ว่าแต่จะเลือกฉีดแบบไหนดี ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน และปัญหาที่กังวลอยู่ในขณะนี้ควรเลือกฉีดตัวไหน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของการฉีด ฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด หรือไขมันระหว่าง 2 ตัวนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

 ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร?

  1. ฟิลเลอร์ เป็นสารสังเคราะห์ ที่สร้างเลียนแบบกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid หรือ HA) เพื่อใช้ในการปรับรูปหน้าให้ดูสวยงาม (กรดไฮยาลูรอนิค มีหน้าที่ช่วยกักเก็บน้ำให้แก่ชั้นผิว ทำให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น เมื่อผิวบริเวณดังกล่าวได้รับสารตัวนี้เข้าไป จะฟูแน่น เต่งตึง ผิวเนียนสวย ไร้ริ้วรอย เสมือนได้รับประทานคอลลาเจนผิวใสหรือให้ผิวได้รับการเติมเต็มร่องเหี่ยวย่นจากเซรั่มเรตินอล อย่างไรก็ตามทั้งสองอย่างนี้อาจจะต้องใช้เวลา แต่ฟิลเลอร์นั้นให้ผลลัพธ์ในทันทีและรวดเร็ว)
  2. ฟิลเลอร์มีหน้าที่เติมเต็มจุดบกพร่องของใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ลง มีรูปหน้าที่ชัดขึ้น
  3. สามารถเลือกฉีดเติมเต็มได้ทั่วทั้งใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก,ใต้ตา, ขมับ, ร่องแก้ม, จมูก, ฉีดฟิลเลอร์ปาก, ฉีดฟิลเลอร์คาง หรือแม้กระทั่งฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ก็ได้เช่นกัน
  4. หลังฉีด ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตปกติได้ทันที อาจมีคำแนะนำจากหมอที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

"ฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด" หรือ "ไขมัน" เลือกฉีดอะไรดีกว่ากัน

 ฉีดไขมัน มาจากไหน?

  1. ไขมันที่นำมาฉีดจากไขมันที่นำไปใช้ไม่หมดของตัวเราเอง
  2. ไขมันที่ว่านี้เป็นไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ที่มาจากการรับประทานอาหารประเภทของทอดของมันเข้าไป ไขมันดังกล่าวจึงตกค้างและสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา น่อง เหนียง
  3. เจ็บตัวและใช้เวลาในการพักฟื้นจนกว่ารูปหน้าจะเข้าที่

สรุป “ฟิลเลอร์” กับ “ไขมัน” ต่างกันอย่างไร

แม้ว่าผลลัพธ์ของภาพใหญ่ในเรื่องความสวยงามจะใกล้เคียง แต่ทั้ง 2 อย่างนี้ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแง่ของกระบวนการ การฉีด “ไขมัน” จะเป็นการปลูกเซลล์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่เซลล์ไขมันเป็นเซลล์มีชีวิต การปลูกถ่ายไขมันจึงไม่ใช่แค่การฉีดไขมันลงไปบนผิวหน้าแล้วจบ แต่ต้องรอให้เกิดการปลูกถ่ายเซลล์ที่สมบูรณ์จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ในส่วนของการฉีด “ฟิลเลอร์” เป็นการใช้สารไฮยาลูโรนิค เอซิด ที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ให้มีความใกล้เคียงกับไฮยาลูโรนิค เอซิดที่ร่างกายสร้างและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากถามว่าการรักษาแบบใดดีกว่ากัน ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับปัญหาและความคาดหวังในผลลัพธ์ สิ่งสำคัญ คือ การศึกษาปัญหาและความต้องการของตัวเรา เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะสมอาจปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามที่ต้องการ

อะไรปลอดภัยกว่ากัน?

มาพูดถึงในเรื่องของความปลอดภัย หลายคนมีความเชื่อว่าการฉีด “ไขมัน” ปลอดภัยกว่าการฉีด “ฟิลเลอร์” เพราะไขมันที่นำมาใช้ก็เป็นของตัวเราเอง ใช่สิ่งแปลกปลอมจากไหน น่าจะอันตรายจะน้อยกว่าสิ่งแปลกปลอมที่ผลิตขึ้นมาและเอาเข้าไป แต่ความเป็นจริงคือการฉีดไขมันเป็นอันตรายแอบแฝงมากกว่า หากอ้างอิงจากงานวิจัยทั่วโลก จะพบว่าการฉีดไขมันมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนที่เยอะกว่า และการแก้ไขผลแทรกซ้อนที่ยากกว่าด้วย เนื่องจากต้องฉีดเข้าไปในปริมาณที่เยอะ และขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาสลายไขมันที่รักษาได้ทันที และหากแพทย์ที่ฉีดไม่มีความชำนาญมากพอส่งผลให้เกิดอันตรายได้

อะไรปลอดภัยกว่ากัน?

แต่ทั้งนี้การฉีดทั้ง “ฟิลเลอร์” และ “ไขมัน” ต่างก็มีข้อดี ข้อเสียที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาแต่ละคนว่าต้องการแก้ไขอะไร ต้องการผลลัพธ์อย่างไร และมีความสะดวกแบบไหน การฉีดไขมันก็อาจจะตอบโจทย์กับผู้ที่ต้องการให้ผิวให้เต่งตึง ในทางกลับกันหากต้องการปรับรูปหน้าให้กระชับ เสริมโครงสร้างบนใบหน้าให้เด่นชัด มีเอกลักษณ์ และเต็มเติมริ้วรอยบนใบหน้า อาจจะต้องใช้การฉีดฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหานั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการเสริมความงามใดๆ ก็ตาม ทุกคนต้องศึกษาให้ถี่ถ้วน คำนึงถึงภาพใหญ่ว่าหากตัดสินใจทำไปแล้วจะมีโอกาสเกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังจากทำ มีข้อควรระวังอะไร ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก และเลือกเข้ารักษากับแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น

อ้างอิง :